รายละเอียด
ดาวน์โหลด Docx
อ่านเพิ่มเติม
คุณอีลอน มัสก์ ลูกชายของคุณหล่อมาก และดูฉลาดมาก เหมือนพ่อของเขาเลย เขาอาจจะมีอนาคตที่สดใส และเขาก็จะทำอะไรบางอย่าง เพื่อประเทศของคุณด้วย แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ปล่อยให้เขาสนุกกับวัยเด็ก อันไร้เดียงสาของเขา แล้วอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น เราก็จะเห็น อะไรจะเกิดขึ้น เราก็จะเห็น เราจะมีเวลาเพียงพอที่จะ พบเขาหรือ/และฝึกเขา เพียงแค่ปกป้องลูกชายของคุณ ปกป้องเขาจากพลังงาน ที่สับสนหรือไม่สงบ จากสถานการณ์โต้เถียง ปกป้องเขาจากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด แม้ว่าเขาจะดูเหมือน ไม่เข้าใจในวัยของเขา แต่จิตวิญญาณของเขาเข้าใจ วิญญาณของเขาเข้าใจและ หัวใจของเขาจะรู้สึกมัน ความสามารถตามสัญชาตญาณของเขา จะรับเอาสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดไปได้ ก็โปรดช่วยเขาจากเรื่องทั้งหมดนั้นด้วยและที่สำคัญที่สุด คุณมัสก์ จงปกป้องลูกชายของคุณจาก ความเสี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น! คุณรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร... ฉันรักลูกชายของคุณ เขางดงามมาก โปรดดูแลเขาด้วย และโปรดอภัย หากฉันทำให้ คุณไม่พอใจไม่ว่ากรณีใด ฉันขอให้คุณ ลูกชายคุณ และ คนที่คุณรักมีความสุขตลอดไป และขอบคุณที่คุณ ช่วยเหลืออเมริกา ขอบคุณที่ช่วยโลกด้วยการช่วยเหลือ ประธานาธิบดีทรัมป์ ขอพระเจ้าอวยพรคุณ ขอพระเจ้าอวยพรคุณ หนุ่มหล่อ หนุ่มที่ร่ำรวย หนุ่มผู้ทรงพลัง ฉันดีใจที่เรามีคุณอยู่ในโลกนี้และเหนือสิ่งอื่นใด คุณมัสก์ อย่าท้อแท้ไม่ว่า คนอื่นจะพูดอย่างไรก็ตาม คนก็คือคน พวกเขาทุกคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน มีความคิดที่แตกต่างกัน แนวคิดที่แตกต่างกัน เพียงทำสิ่งที่คุณคิดว่าถูกต้อง ช่วยประธานาธิบดีทรัมป์ ช่วยสหรัฐอเมริกา แล้วมันก็จะช่วยโลกด้วย ผลที่ตามมา ขอขอบคุณอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง ขอพระเจ้าคุ้มครองให้คุณมี ความเข้มแข็ง และมีสุขภาพดี มีความสุข และฉลาดหลักแหลม ในการทำสิ่งที่คุณกำลังทำต่อไป นั่นคือการรับใช้อันสูงส่ง ไร้เงื่อนไข และเสียสละ ขอพระเจ้าอวยพร ฉันขอบคุณมาก และขออภัย หากฉันทำให้คุณไม่พอใจฉันรู้ว่าคุณคือ ราชาแห่งความมั่งคั่งและ ความรุ่งเรืองบนสวรรค์ เราพบกันภายใน ในโลกแห่งจิตวิญญาณ มันเป็นเพียงคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ของฉัน ขอบคุณมากสำหรับการช่วยเหลือ ประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะการช่วยเหลือท่าน ก็หมายถึงการช่วยอเมริกา และช่วยโลกด้วย ผู้คนจำนวนมากจะเลียนแบบ วิถีชีวิต การตัดสินใจ ความฉลาด วิถีชีวิตที่ ซื่อสัตย์ ความเห็นอกเห็นใจ และคุณสมบัติอันงดงาม และสูงส่งของคุณใน การช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือประเทศ และช่วยเหลือโลก ขอบคุณมาก ขอให้พระเจ้าทรงอวยพรคุณ และครอบครัวของคุณต่อไป และขอให้คุณมีพละกำลัง เพียงพอที่จะปฏิบัติภารกิจ อันสูงส่งของคุณต่อไปได้ เอเมน คุณอีลอน มัสก์ใช่แล้ว เราปล่อยให้ คนเก่ง ๆ เหล่านี้ ทำหน้าที่ของพวกเขาเอง กันดีกว่าเมื่อวานนี้ ฉันกำลัง สแกนข่าวสำหรับ สุพรีมมาสเตอร์ทีวี ข่าวที่บางครั้งคุณอาจเห็น ก็คือข่าวที่ฉันช่วย ในรายการต่อจาก ข่าวเด่น ที่เรียกว่า "ข่าวสตรีมมิ่งประจำวัน" โดยทีมข่าว เพราะฉันอ่านข่าว เกี่ยวกับชาวสัตว์ตลก ๆ หรือสถานการณ์ต่าง ๆ ในโลก สารพัดเรื่อง ทั้งสิ่งประดิษฐ์ ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ๆ และสิ่งต่าง ๆ มากมายจากนั้นฉันก็เห็นบทความ วิดีโอสองสามเรื่อง เกี่ยวกับผู้คนที่อาศัย อยู่ในป่าและพื้นที่ ที่หนาวเย็นที่สุดในโลก ในไซบีเรีย ยกตัวอย่าง ฉันเห็นคนสองคน คนหนึ่งเป็นผู้หญิง เธออาศัยอยู่ที่นั่นมา 70 ปีแล้ว และยังคงอาศัยอยู่ที่นั่น ในพื้นที่ ที่หนาวที่สุดของไซบีเรียในป่า และเธอชินกับการอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง เพราะคนในครอบครัวเสียชีวิตกันหมด เหตุผลที่ครอบครัวของเธอ ไปที่นั่นก็เพราะประเทศ อยู่ภายใต้การปกครองของสตาลิน และครอบครัวของเธอหวาดกลัว ระบอบการปกครองของสตาลิน พวกเขาจึงออกจากเมือง ออกจากที่ใดก็ตามที่พวกเขาอยู่ และเดินทาง ลึกเข้าไปในป่าไม่มีอะไรอยู่ที่นั่น ยกเว้นชาวหมี และ ชาวหมาป่า ชาวจิ้งจอก และ ชาวสัตว์ใหญ่ชนิดอื่น ๆ ที่สามารถอยู่รอดได้ ในฤดูหนาวอุณหภูมิอาจ ติดลบ 71 (องศา) เซลเซียส หรือว่าเป็นฟาเรนไฮต์ ฉันลืมไปแล้ว ไม่เป็นไร ฉันว่ามัน หนาวมาก หนาวเกินไป ที่ฉันอยู่หนาวมาก มีหิมะตกบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่หนาวมากขนาดนั้น อุณหภูมิอาจจะต่ำกว่าศูนย์องศา แต่ไม่ถึง 71 องศา ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ที่หนาวที่สุดบนดาวเคราะห์นี้และเธอถูกทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียว เป็นเวลา 20 ปี หลังจากครอบครัว ของเธอเสียชีวิต เพราะว่ามีบางอย่าง เกิดขึ้นในป่า อาจจะสภาพอากาศ หรืออะไรสักอย่าง ทำให้การเก็บเกี่ยว ของพวกเขาหมดไป ฉันจำได้ว่าเคยเห็นเรื่องนี้ ในวิดีโออื่นที่ไหนสักแห่ง เกี่ยวกับผู้หญิงคนเดียวกัน และแม่ก็ต้องอดอาหาร เพื่อให้ลูก ๆ ได้ มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ ต่อมาพ่อก็ตายไปด้วย ทั้งพี่ ๆ ก็ตาย ก็ตายหมด เหลือเพียงเธอคนเดียวและครั้งหนึ่งครอบครัวมี เมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีเพียงเมล็ดเดียว ที่ต้องหว่านลงในดิน เพื่อผลิตข้าวสาลี และพวกเขา มีเหลืออยู่เพียงเมล็ดเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่อยากจะกลับไป ที่เมืองด้วยซ้ำเพราะคิด พวกเขากลัวสตาลินมากเพราะญาติ ๆ หรือสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ ของพวกเขาหลายคนเสียชีวิตไป อะไรทำนองนั้น พวกเขาจึงหนี และพวกเขาเหลือต้นข้าวสาลี เพียงกิ่งเดียวเท่านั้น พวกเขา จึงเก็บมันไว้ และจากนั้น เป็นต้นมาพวกเขาก็ปลูกมันจน กลายเป็นทุ่งข้าวสาลีเล็ก ๆ พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ แบบนั้นและต้อง เก็บเกี่ยวผลผลิต ทุกอย่างที่อยู่ในป่า พวกเขาไม่กล้าที่จะกลับบ้าน ดังนั้น ครั้งหนึ่ง แม่ต้องเสียสละและ อดอาหารจนตาย เพื่อให้ลูก ๆ ได้มี อาหารกินต่อไป น้อยมากเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่พวกเขาก็รอดชีวิตมาได้ แต่แล้วนักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยาหรืออะไรทำนองนั้น ไปอยู่ที่นั่นและพักอยู่กับพวกเขา และ ไปเยี่ยมพวกเขาเพราะเหตุผลบางอย่าง อาจจะเพราะความอยากรู้อยากเห็น แล้วเพราะนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง เกิดป่วย แล้วเขาทำให้ ทั้งครอบครัวติด โชคดีที่เด็กสาว ไม่ได้เป็นอะไร มีเพียงแต่พี่ ๆ ที่เสียชีวิต แล้วภายหลังพ่อก็เสียชีวิตแต่หลังจากนั้นเธอ ก็ยังคงอาศัยอยู่ที่นั่น เพียงลำพังต่อไป โอ้ นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก ฉันไม่คิดว่าฉันจะทำแบบนั้นได้ ความหนาวเหน็บเช่นนั้น และขาดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอาหาร ไม่มีผู้คน ไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เธอก็ยังคงดำเนินชีวิตเช่นนั้นต่อไป
Excerpts from “Surviving in the Siberian Wilderness for 70 Years” by VICE — Apr 10, 2013, Narrator: เนื่องจากเกรงการกดขี่ และความตายจากสตาลิน คาร์ป พ่อของอากาเฟีย จึงหนีไปยังเทือกเขาซายัน ในไซบีเรียพร้อมกับ ครอบครัวในปี 1936 อากาเฟียเกิดในป่าที่ทุรกันดาร แห่งนี้เมื่อปี 1944 ครอบครัวไลคอฟ ใช้ชีวิต โดยถูกรบกวนเป็นเวลา 40 ปี สร้างชีวิตในสภาพแวดล้อม ที่อุณหภูมิในฤดูหนาวโดยทั่วไป จะลดลงเหลือลบ 30 องศา ฤดูเพาะปลูกในฤดูร้อนนั้น สั้นมาก และมีหมีและหมาป่า ออกมาหากินมากมาย อย่างไรก็ตาม อาหารก็มักจะขาดแคลนเสมอ
และในปี 1961 อาคูลินา แม่ของอากาเฟีย ก็อดอาหารตาย เพื่อให้ลูก ๆ มีอาหารกินเพียงพอ พื้นที่ที่พวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่ ในปัจจุบันอยู่ห่างจากเมืองที่ใกล้ที่สุด มากกว่า 160 ไมล์ (257 กิโลเมตร) ในช่วงฤดูร้อน สามารถไปถึง กระท่อมไลคอฟได้ โดยการพายเรือแคนูเป็นเวลาเจ็ดวัน ในฤดูหนาว แม้ว่าเราจะได้ยินข่าวลือ เกี่ยวกับเส้นทางสโนว์โมบิลที่ เต็มไปด้วยอันตราย แต่แทบจะ ไม่สามารถเข้าถึงเส้นทางนั้นได้ ด้วยสิ่งอื่นใด ยกเว้นเฮลิคอปเตอร์เท่านั้นในปี 1978 ทีมนักธรณีวิทยา ชาวรัสเซียสังเกตเห็น ฟาร์มบนเนินเขาของไลคอฟ จากเฮลิคอปเตอร์ของพวกเขา หลังจากนั้นพวกเขาจึงเดินป่า ไปพบพวกเขานั่นถือเป็นการติดต่อ กับบุคคลภายนอกครั้งแรกของ ครอบครัวไลคอฟ ในรอบกว่า 40 ปี และถือเป็นจุดสิ้นสุด ของการโดดเดี่ยวของพวกเขา พวกเขายังต้องประสบกับ โศกนาฏกรรมที่เลวร้ายอย่างยิ่ง เมื่อลูกทั้งสามคนเสียชีวิต ห่างกันไม่กี่สัปดาห์ โดยคาดว่าน่าจะเกิดจาก โรคปอดบวมที่ติดมาจากการมาเยี่ยม ของนักธรณีวิทยา ต่อมาในปี 1988 คาร์ป พ่อของอากาเฟียเสียชีวิต และตรงกับวันเดียวกับที่ภรรยาของเขา เสียชีวิตเมื่อ 27 ปีที่แล้ว ดังนั้นตอนนี้ 35 ปีหลังจาก การติดต่อครั้งแรก อากาเฟีย เป็นไลคอฟคนเดียวที่เหลืออยู่ ใช้ชีวิตแบบเดียวกับที่ เธอเคยใช้ชีวิตมาตั้งแต่เธอเกิดมา และเป็นวิถีเดียวที่เธอรู้จัก นอกผืนดิน ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย ที่สุดแห่งหนึ่งบนโลกReporter: การใช้ชีวิตคนเดียวในไทกา เป็นเรื่องยากหรือเปล่า?Agafia: ยากค่ะ อยู่ไทกาคนเดียว ใช่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณมีครัวเรือนReporter: คนเราสามารถอยู่รอด เพียงลำพังในไทกาได้ไหม?Agafia: หากคุณยังอายุน้อยและมีสุขภาพแข็งแรง ไม่ใช่ในวัยของฉันและสุขภาพของฉัน หลังจากที่ฉันเห็นแล้วฉันรู้สึกว่าฉันโชคดีมาก ทุกวันนี้ คุณมีพลังงานแสงอาทิตย์ แม้กระทั่งไว้ทำงาน หรือให้ความอบอุ่น หรือถุงประคบอุ่น อะไรก็ได้ที่ฉันมี ถ้ามันจำเป็น และยังมีผ้าห่มด้วย และอาหาร เพราะสมัยนี้ เราไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามแล้ว คุณสามารถนั่งแท็กซี่ ไปไหนก็ได้ ซื้ออาหารแล้วกลับมาได้ หรือคุณสั่งซื้อออนไลน์ แล้วแจ้งที่อยู่มาให้ แม้ว่าคุณจะไม่มีรถหรือ ไม่สามารถเรียกแท็กซี่ คุณก็สามารถบอกที่อยู่ไว้ จากนั้นก็รออยู่ที่นั่น รอให้พนักงานมา แล้วเอานำอาหารกลับบ้าน จากที่นั่น นั่งแท็กซี่กลับ หรืออาจเดินกลับบ้าน ด้วยรถรางก็ได้แม้จะยุ่งยากเช่น ไม่มีน้ำอุ่น แต่ ฉันก็มีความสุข ถ้าฉันไม่มีหน้าที่อะไรที่ไหน ฉันก็ไม่อยากไปไหนเลย ฉันไม่ต้องการที่จะแลกชีวิตแบบนี้ กับอะไรอื่นใดอีก แต่ได้โปรด อย่าทำตามฉัน หรือลอกเลียนแบบฉัน คุณต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งและ ยังมีความไม่ปลอดภัยด้วย การใช้ชีวิตอยู่ในป่าก็มีความเสี่ยง และความไม่สะดวก หลายประการเช่นกัน คุณต้องใส่ใจทุกรายละเอียด อย่างแท้จริง และรู้สึกเข้มแข็งภายใน มิฉะนั้น คุณอาจลืมบางสิ่งบางอย่างไป และเจ็บป่วย และเป็นเรื่องยากมาก ที่จะรักษาให้หายได้ ไม่ใช่เรื่องทางกาย ที่ฉันกังวล ฉันกังวลเกี่ยวกับงานของฉัน ฉันต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ฉันดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ แน่นอน แต่ส่วนนั้น เป็นส่วนที่ยากลำบากที่สุด ฉันดูแลคนอื่น อย่างมีความสุขทีเดียว ฉันดูแลตัวเอง – ฉันไม่ชอบ ตั้งแต่เด็ก ๆ ถ้าพ่อให้ยาอะไรแก่ฉัน เพื่ออะไรก็ตาม โอ้ ฉันวิ่งหนี ฉันไม่ชอบมัน จากนั้นพวกเขาก็ต้อง กดฉันลงกับพื้นแล้วก็เปิดปากฉัน ด้วยช้อน เพื่อยัดยาเข้าไป แต่สมัยนี้ฉันโตขึ้น และมีความรับผิดชอบมากขึ้น กินยาและทั้งหมดนั่น แต่ฉันก็ยังต้องมีสุขภาพดีแต่มิฉะนั้น ชีวิตเรียบง่าย ฉันชอบมัน ฉันชอบมีชีวิตที่เรียบง่ายจริง ๆ คนเดียว และเงียบ และสงบ เพื่อที่ฉันจะมีเวลาว่าง หลังจากทำงาน สุพรีมมาสเตอร์ทีวี ฉันก็มีเวลาว่าง ฉันสามารถนั่งลงและคิด ดื่มน้ำร้อนเล็กน้อย หรือดื่มชานิดหน่อย หรือกินอาหารง่าย ๆ ถ้าหากงานมากเกินไป มีภาระทางจิตใจมากเกินไป ฉันก็หยุดพักแบบนั้น ซึ่งก็ดีมากแบบนั้น มันยากที่จะปรุงอาหาร หลายอย่างเกินไป ฉันไม่มีเวลาที่จะดูแล เรื่องพวกนั้นทั้งหมด เช่น การซักผ้า ในส่วนของน้ำฝน คุณก็ต้องคิดด้วย คุณทำสิ่งต่าง ๆ มากเกินไปไม่ได้ ใช้มากเกินไปไม่ได้แต่ฉันยังคงคิดว่าแม้กระนั้น ฉันก็ยังโชคดี และทรงพลังมากกว่ากษัตริย์แต่ก่อน ในสมัยก่อน เพราะว่า กษัตริย์ในสมัยก่อน พวกเขาไม่มีอินเทอร์เน็ต พวกเขาไม่มีโทรศัพท์ พวกเขาไม่รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นในโลกและ ในประเทศของพวกเขา แม้แต่ในเมืองหลวงของพวกเขาเอง พวกเขาต้องใช้เวลานานมาก กว่าข่าวต่าง ๆ จะไปถึงพวกเขา แต่ในปัจจุบันนี้ คุณสามารถเปิดอินเทอร์เน็ต ค้นหาสักพัก แล้วคุณก็ได้ข่าวสารทั้งหมด ที่คุณต้องการดู คุณไม่จำเป็นต้องมี เลขาฯ หลายคน คุณไม่มีขันทีมากมาย คุณไม่มีองครักษ์มากมาย ที่จะทำอะไรให้คุณ คุณทำทุกอย่างคนเดียว และคุณไม่จำเป็นต้องมี ขันทีเพื่อชิมอาหารก่อน เพื่อดูว่ามีพิษหรือไม่ มันจึงรู้สึกสงบและ ผ่อนคลายในหลาย ๆ ด้านPhoto Caption: ช่างเป็นโลกที่งดงาม งานสรรค์สร้างของพระเจ้า!